เมื่อครั้งเป็นนิสิต ข้าพเจ้าได้เคยอ่านผลงานของ จิตร ภูมิศักดิ์ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียด หรือวิเคราะห์อะไร เพียงแต่ได้ยินคำเล่าลือว่า เขาเป็นคนที่ค้นคว้าวิชาการได้กว้างขวาง และลึกซึ้งถี่ถ้วน ในสมัยที่เราเรียนหนังสือกัน ได้มีผู้นำบทกวีของจิตรมาใส่ทำนองร้องกัน ฟังติดหู มาจนถึงวันนี้
เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ข้าวนี้น่ะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังสิทุกข์ทน และขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงมาเป็นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ
เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเป็นกิน
น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน
ดูจากสรรพนามที่ใช้ว่า “กู” ในบทกวีนี้ แสดงว่าผู้ที่พูดคือชาวนา ชวนให้คิดว่าเรื่องจริง ๆ นั้นชาวนาจะมีโอกาสไหมที่จะ “ลำเลิก” กับใคร ๆ ว่า ถ้าไม่มีคนที่คอยเหนื่อยยากตรากตรำอย่างพวกเขา คนอื่น ๆ จะเอาอะไรกิน อย่าว่าแต่การลำเลิกทวงบุญคุณเลยความช่วยเหลือที่สังคมมีต่อคนกลุ่มนี้ในด้านของปัจจัยในการผลิต การพยุงหรือประกันราคาและการรักษาความยุติธรรมทั้งปวงก็ยังแทบ จะเป็นไปไม่ได้ ทำให้หลายประเทศ ๆ ที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจ ชาวนาต่างก็ละทิ้งอาชีพเกษตรกรรมไปอยู่ในภาคอุตสาหกรรมหรือภาคบริการ ซึ่งทำให้ตนมีราย ได้สูงกว่าหรือได้เวินเร็วกว่า แน่นอนกว่า มีสวัสดิการดีกว่าและไม่ต้องเสี่ยงมากเท่ากับเป็นชาวนา บางคนที่ยัง คงอยู่ในภาคเกษตรกรรม ก็มักจะนิยมเลี่ยนพืชที่ปลูกจากธัญพืช ซึ่งมักจะได้ราคาต่ำ เพราะรัฐบาลก็มีความจำเป็นที่จะต้องวบคุมราคามาเป็นพืชเศรษฐกิจ ประเภทอื่นที่ราคาสูงกว่า แต่ก็ยังมีชาวนาอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่มีทางจะขยับขยายตัวให้อยู่ในสถานะที่ดีขึ้นได้ อาจแย่ลงเสียด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกากับใคร ถึงจะมีคนแบบจิตรที่พยายามใช้จินตนาการสะท้อนความในใจออกมาสะกิดใจคนอื่นบ้าง แต่ปัญหาก็ยังไม่หมดไป
หลายปีมาแล้วข้าพเจ้าอ่านพบบทกวีจีนบทหนึ่ง ผู้แต่งชื่อหลี่เชิน ชาวเมืองอู่ซี มีชีวิตอยู่ในระหว่างปี ค.ศ. ๗๗๒ ถึง ๘๔๖ สมัยราชวงศ์ถัง ท่านหลี่เชินได้บรรยายความในใจเป็นบทกวีจีน ข้าพเจ้าจะแปลด้วยภาษาที่ขรุขระไม่เป็นวรรณศิลป์เหมือนบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์
หลายปีมาแล้วข้าพเจ้าอ่านพบบทกวีจีนบทหนึ่ง ผู้แต่งชื่อหลี่เชิน ชาวเมืองอู่ซี มีชีวิตอยู่ในระหว่างปี ค.ศ. ๗๗๒ ถึง ๘๔๖ สมัยราชวงศ์ถัง ท่านหลี่เชินได้บรรยายความในใจเป็นบทกวีจีน ข้าพเจ้าจะแปลด้วยภาษาที่ขรุขระไม่เป็นวรรณศิลป์เหมือนบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์
หว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิ ข้าวเมล็ดหนึ่ง
จะกลายเป็นหมื่นเมล็ดในฤดูใบไม่ร่วง
รอบข้างไม่มีนาที่ไหนทิ้งว่าง
แต่ชาวนาก็ยังอดตาย
ตอนอาทิตย์เที่ยงวัน ชาวนายังพรวนดิน
เหงื่อหยดบนดินภายใต้ต้นข้าว
ใครจะรู้บ้างว่าในจานใบนั้น
ข้าวแต่ละเม็ดคือความยากแค้นแสนสาหัส
กวีผู้นี้รับราชการมีตำแหน่งเป็นอยู่ของราษฎรชาวไร่ชาวนนายุคนั้น และเกิดความสะเทือนใจจึงได้บรรยายความรู้สึกออกเป็นบทกวีที่เขาใช้ชื่อว่า “ประเพณีดั้งเดิม” บทกวีของหลี่เซินเรียบ ๆ ง่าย ๆ แต่ก็แสดงความขัดแย้งชัดเจน แม้ว่าฤดูกาบนั้นภูมิอากาศจะอำนวยให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบรูณ์ดี แต่ผลผลิตไม่ได้ตกเป็นประโยชน์ของผู้ผลิตเท่าที่ควรเทคนิคในการเขียนของหลี่เชินกับของจิตรต่างกัน คือ หลี่เชินบรรยายภาพที่เห็นเหมือนจิตรกรวาดภาพให้คนชม ส่วนจิตรใช้วิธีเสมือน กับนำชาวนามาบรรยายเรื่องของตนให้ผู้อ่านฟังด้วยตนเอง เวลานี้สภาพบ้านเมืองก็เปลี่ยนไป ตั่งแต่สมัยหลี่เชินเมื่อพันปีกว่า สมัย จิตร ภูมิศักดิ์ เมื่อ 30 ปี กว่าปีที่แล้ว สมัยที่ข้าพเจ้าให้เห็นเอง ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันนัก ฉะนั้นกานที่ทุกคนจะหันไปกินอาหารเม็ดเหมือนนักบินอวกาศ เรื่องความทุกข์ของชาวนาก็คงยังจะเป็นแรงสร้าง ความสะเทือนใจให้แก่กวียุคคอมพิวเตอร์สืบต่อไป
บทวิเคราะห์
ตอนอาทิตย์เที่ยงวันชาวนายังพรวนดิน
เหงื่อหยดบนดินภายใต้ต้นข้าว
ใครจะรู้บ้างว่าในจานใบนั้น
ข้าวแต่ละเม็ดคือความยากแค้นแสนสาหัส
บทพรรณนาความทุกข์ยากของชาวนาข้างต้นนี้ มาจากพระราชนิพนธ์ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงแปลจากบทกวีของจีนไว้ในพระราชนิพนธ์บทความเรื่อง “ทุกข์ของชาวนาในบทกวี” บทความนี้อยู่ ในพระราชนิพนธ์เรื่องมณีพลอยร้อยแสง
มณีพลอยร้อยแสงเป็นหนังสือรวมบทพระราชนิพนธ์ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กุมารีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้นิสิตอักษรศาสตร์รุ่นที่ ๔๑ จุฬาลงกกรณ์มหาวิทยาลัยจัดพิมพ์เมื่อพ.ศ. ๒๕๓๓
ในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๓ รอบ พระราชนิพนธ์เรื่องต่างๆ แบ่งเป็น ๑๑ หมวดหมู่ดังนี้ “กลั่นแสงกลอนกานท์” “เสียงพิณเสียงเลื่อน เสียงเอื้อนเสียงขับ” “เรียงร้อยถ้อยดนตรี” “ชวนคิดพิจิตรภาษา” “นานาโวหาร” “คำขานไพรัช” “สมบัติภูมิปัญญา” “ธาราความคิด” “นิทิศบรรณา” “สาราจากใจ” และ “มาลัยปกิณกะ” ในหมวดแ”ชวนคิดพิจิตรภาษา” มีพระราชนิพนธ์บทความและบทอภิปรายรวม ๔ เรื่อง คณะผู้จัดทำหนังสือมณีพลอยร้อยแสงกล่าวไว้ในคำนำหมวดนี้ว่าบทความวิชาการทางภาษาและวรรณคดีรวมทั้งบทอภิปรายที่นำมารวมไว้เป็นเครื่องยืนยันพระปรีชาสามารถทางอักษรศาสตร์ และความเป็น “ปราชญ์ทางภาษา” ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี...
ข้อคิดจากบทอภิปรายเรื่อง “ภาษาไทยกับคนไทย” อาจช่วยให้คนไทยมองเห็นมิติใหม่แห่งคุณค่าของภาษาไทยอันเป็นภาษาประจำชาติ รวมทั้งความหมาย อันลึกซึ้ง ของภาษาในฐานะวัฒนธรรมอันแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา บทความเรื่อง”การใช้สรรพนาม”ให้ทั้งความรู้และความสำเริงปัญญาแก่ผู้อ่าน บทความเรื่อง “วิจารณ์คำอธิบาย เรื่องนามกิตก์ในไวยากรณ์บาลี” อันเป็นการอภิปรายและวินิจฉัยการประกอบศัพท์ในภาษาบาลีอย่างละเอียด ช่วยสะท้อนให้เห็นความเป็น “ปราชญ์ทางภาษา” ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี อย่างแจ้งชัดยิ่งขึ้นและบทวิจารณ์ร้อยกรองเรื่อง “ทุกข์ของชาวนาในบทกวี” ให้ข้อคิดน่าสนใจ และความรู้เชิงวรรณคดี เปรียบเทียบแก่ผู้อ่าน...
พระราชนิพนธ์เรื่อง “ทุกข์ของชาวนาในบทกวี” แสดงแนวพระราชดำริเกี่ยวกับบทกวีไทยของจิตร ภูมิศักดิ์และบทกวีของหลี่เชินซึ่งกล่าวถึงชีวิต และความ ทุกข์ยากของชาวนา เนื้อความในพระราชนิพนธ์แสดงถึงความเข้าพระทัยปัญหาต่างๆของชาวนาและยังสะท้อนให้เห็นพระเมตตาธรรมอัน เปี่ยมล้นของ พระองค์ที่มีต่อ ชาวนาอีกด้วย บทกวีจีนที่ทรงแปลเป็นภาษาไทยนั้นก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทกวีที่สื่อความได้อย่างกระจ่างชัดเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เราเห็นภาพชีวิต ของชาวนาจีน กับชาวนาไทยว่ามิได้แตกต่างกันเท่าใดนัก พระราชนิพนธ์เรื่องนี้ถือเป็นตัวอย่างเรียงความที่ดีเรื่องหนึ่ง เพราะปรากฏแนวความคิดที่แจ่มแจ้ง
ชัดเจน ลำดับความให้ผู้อ่านนำไปตรึกตรองต่อไป สอดคล้องกับความคิดเห็นของคณะผู้จัดทำหนังสือ มณีพลอยร้อยแสง ที่ว่า “นอกจากจะทรงเป็นกวีอย่างสมภาคภูมิแล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงเป็นปราชญ์ผู้สามารถถ่ายทอดความรู้ทางอักษรศาสตร์ได้อย่างประณีตลึกซึ้ง สามารถเป็น “หลัก” และ “ผู้ชี้แนะ” ทางปัญญาแก่ผู้ใฝ่รู้ใน “ศาสตร์” อันทรงคุณค่าได้”
ชัดเจน ลำดับความให้ผู้อ่านนำไปตรึกตรองต่อไป สอดคล้องกับความคิดเห็นของคณะผู้จัดทำหนังสือ มณีพลอยร้อยแสง ที่ว่า “นอกจากจะทรงเป็นกวีอย่างสมภาคภูมิแล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังทรงเป็นปราชญ์ผู้สามารถถ่ายทอดความรู้ทางอักษรศาสตร์ได้อย่างประณีตลึกซึ้ง สามารถเป็น “หลัก” และ “ผู้ชี้แนะ” ทางปัญญาแก่ผู้ใฝ่รู้ใน “ศาสตร์” อันทรงคุณค่าได้”
คำศัพท์และข้อความ
กำซาบ | ซึมเข้าไป |
เขียวคาว | สีเขียวของข้าว ซึ่งน่าจะหอมสดชื่นกลับมีกลิ่นคาวเหงื่อและคาวเลือดของชาวนาเพราะข้าวนี้เกิดจากหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อซึ่งแสดงถึงความทุกข์ ยากและความขมขื่นของชาวนา |
จิตร ภูมิศักด | นักคิดและนักเรียนไทย (พ.ศ. 2473-2509 2473-2509 ) มีผลงานทั้งทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษาและวรรณคดี |
ภาคบริการ | อาชีพที่ให้บริการผู้อื่น เช่น พนักงานตามโรงแรมหรือห้างสรรพสินค้าเป็นต้น |
สู | สรรพนามบุรุษที่ 2 เป็นคำโบราณ |
อาจิณ | ประจำ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น